รับสมัครงาน

century 21 property aims thailand

Banner

960x300

Banner

960x300

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เลือกทิศทางบ้านอย่างไรให้รับลม

        เลือกทิศทางบ้านอย่างไรให้รับลม
              
         หากเราต้องการที่จะจัดฮวงจุ้ยของที่พักอาศัยให้ได้ผลนั้น สิ่งสำคัญในลำดับแรกคือการทำอย่างไรให้บ้านของเราสามารถรับกระแสพลังงานจากลมธรรมชาติได้ดีที่สุด เพราะ “ฮวง” นั้นหมายถึงลม และ “จุ้ย” นั้นหมายถึงน้ำ ซึ่งนักปราชญ์จีนได้กล่าวไว้ว่า “พลังงานนั้นมากับลมและสะสมตัวที่น้ำ” ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างบ้านเพื่อให้สามารถรับกับกระแสลมจากธรรมชาติได้ เรียกว่าหาก ‘กระแสลม” ไม่เข้าบ้านแล้วก็ถือว่าโอกาสที่ฮวงจุ้ยจะไม่ดีนั้นสูงมาก โดยหากบ้านของเราไม่สามารถรับกระแสลมจากธรรมชาติได้ เราจึงค่อยสร้างกระแสเทียมหรือกระแสประดิษฐ์ เช่น น้ำพุ , น้ำตก , โอ่งน้ำล้น , ตู้ปลา หรือพัดลม จะเห็นว่าหากเราสามารถจัดชัยภูมิหรือเลือกทิศทางของบ้านได้ดีให้สามารถรับกระแสลมจากธรรมชาติได้ จะทำให้มีโอกาสได้ที่พักอาศัยที่มีฮวงจุ้ยที่ดีได้โดยไม่จำเป็นต้องสร้างกระแสเทียมแม้แต่น้อย



                         หลักการง่ายๆ ของการเกิดลมนั้นได้แก่ความแตกต่างของอุณหภูมิอากาศ โดยอากาศที่มีอุณหภูมิสูงจะมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ อากาศที่ร้อนกว่าจะลอยตัวขึ้นสูง และอากาศที่เย็นกว่าจะเคลื่อนที่มาแทนในแนวระนาบ ดังนั้นทุกครั้งที่เราโดยลทพัดผ่านเราจึงรู้สึกเย็นสบาย และการที่แกนโลกเอียง 23 องศาทำมุมกับดวงอาทิตย์ เมื่อโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์จึงทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ กับไปในรอบหนึ่งปี โดยการเกิดฤดูกาลนี้เองทำให้เกิดกระแสลมหลักๆ 2 ทิศทางในประเทศไทย ดังนี้

                       1.ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นลมที่พัดผ่านประเทศไทยในฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยเป็นช่วงที่โลกโคจรเอาแกนที่เอียงออกจากดวงอาทิตย์ ทำให้ส่วนพื้นผิวของโลกที่เป็นมหาสมุทรได้รับแสงอาทิตย์มากกว่าส่วนที่เป็นทวีป เมื่ออากาศบริเวณมหาสมุทรได้รับแสงอาทิตย์มากกว่าส่วนที่เป็นพื้นทวีป เมื่ออากาศบริเวณมหาสมุทรที่ส่วนใหญ่อยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ร้อนและลอยตัวสูงขึ้น จึงทำให้อากาศที่เย็นจากพื้นทวีปโดยเฉพาะจากประเทศจีน หรือทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านเข้ามา เราจึงเรียกกระแสลมดังกล่าวว่าลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือโดยกระแสลมจะพัดผ่านค่อนมาทางทิศเหนือเป็นหลัก



                       2.ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นลมที่พัดผ่านประเทศไทยในฤดูร้อนและฤดูฝนประมาณ เดือนมีนาคม-ตุลาคม ของทุกปี โดยเป็นช่วงที่โลกโคจรเอาแกนที่เอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ส่วนของโลกที่เป็นพื้นทวีปได้รับแสงอาทิตย์มากกว่าส่วนที่เป็นมหาสมุทร เมื่ออากาศบริเวณพื้นทวีปที่ส่วนใหญ่อยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือร้อนและลอยตัวสูงขึ้น จึงทำให้อากาศที่เย็นกว่าจากมหาสมุทรโดยเฉพาะจากมหาสมุทรอินเดียพัดเข้ามาแทนที่เราจึงเรียกกระแสลมดังกล่าวว่าลมมรสุมตะวันตกเฉีนงใต้ โดยกระแสลมจะพัดผ่านมาค่อนมาทางทิศใต้เป็นหลัก

                      ดังนั้นหากเราต้องการจะให้บ้านนั้นเย็นสบายมีกระแสลมไหลเวียนเข้าบ้านอยู่ตลอดเวลา ซินแสหรืออาจารย์ฮวงจุ้ยก็จะเน้นให้สร้างบ้านหรืออาคารในแนวหันทิศเหนือหรือหันทิศใต้เป็นหลัก เพราะจะทำให้บ้านสามารถรับกับกระแสลมที่พัดผ่านเข้ามาได้เต็มที่ โดยถ้าบ้านหันหน้าไปทางทิศใต้ก็จะได้รับลมเป็นเวลามากกว่า เพราะลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้นั้นพัดผ่านกินเวลา 8 ใน 12 เดือน แต่หากสร้างบ้านหันหน้าไปทางทิศเหนือก็จะได้รับลมเป็นเวลาน้อยกว่าบ้านที่หันทางทิศใต้ เพราะลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือนั้นพัดผ่านกินเวลา 4 ใน 12 เดือน



                     การที่บ้านหันไปทางทิศเหนือนั้นเองก็จะมีข้อดีชดเชยคือแดดจะไม่ค่อยเข้าที่หน้าบ้าน เพราะในประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ซึ่งประเทศไทยเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยส่วนใหญ่เกือบทั้งปีแสงแดดจะอ้อมทิศใต้ ดังนั้นหากท่านต้องการเน้นลมผ่านเยอะๆ เกือนตลอดปี และส่วนตัวชอบแสงแดดก็สามารถเลือกบ้านที่หันไปทางทิศใต้ได้ แต่หากท่านยอมรับลมน้อยลงไปหน่อยแต่เน้นว่าแสงแดดไม่ค่อยเข้าที่หน้าบ้านก็สามารถเลือกบ้านที่หันหน้าไปทางทิศเหนือใต้

                    แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้คือเรื่องของการออกแบบบ้านเพราะการที่กระแสลมจะเข้าบ้านได้นั้นจะต้องมี “ช่อง” ให้ลมเข้า และยังไม่พอต้องมี “ช่อง” ให้ลมออกด้วย ซึ่งช่องเหล่านั้นก็คือหน้าต่างและประตู ดังนั้นบ้านที่จะมีกระแสลมผ่านเข้าได้อย่างทั่วถึงก็ควรจะมีช่องประตู และหน้าต่างในปริมาณที่เหมาะสมด้วย จึงทำให้กระแสลม กระแสอากาศไหลเวียนถ่ายเทได้ดี คำถามคืออย่างไรจึงเรียกได้ว่าบ้านหลังนี้ลมเข้าคำตอบคือซินแสจะลองยืนที่ปากประตูทางเข้าตัวบ้านของท่าน หากรู้สึกว่าลมพัดผ่าน ยืนแล้วเย็นสบาย ไม่อึดอัดนั่นก็ถือว่าใช้ได้ หรืออีกวิธีหนึ่งเราก็สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ว่าบ้านที่มีประตูหน้าต่างเพียงพอ ในตอนกลางวันนั้นแสงธรรมชาติจะเข้าบ้านได้มากจนสว่างเพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องเปิดไฟเพิ่มเติม



                    โดยควรระวังในการออกแบบประตูหน้าต่างของบ้านที่บางครั้งออกแบบให้มีมากเกินไป หากประตูหน้าบ้านตรงกับประตูหลังบ้านพอดี แม้ว่ากระแสลมจะเข้าไปมากอย่างรวดเร็ว แต่กลับจะออกไปรวดเร็วด้วย ในบางครั้งซินแสฮวงจุ้ยเรียกเป็น “บ้านที่เก็บโชคไม่อยู่” ดังนั้นต้องระวังการที่ออกแบบประตูหน้าบ้านให้ตรงกับประตูหลังบ้าน แต่หากบ้านของท่านมีลักษณะนั้นไปแล้ว ก็หาอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์หนักๆ ใหญ่ๆ มาวางกดพื้นที่ก่อนถึงประตูหลังบ้านไว้ก็ช่วยในการปรับแก้ฮวงจุ้ยได้ หรือหากเป็นห้องนอน การออกแบบหน้าต่างให้ตรงกับศีรษะพอดีก็ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะหากลมหรือแสงเข้าที่ศีรษะในเวลานอนก็อ่านว่าจะเป็นการรบกวนการนอน การแก้ไขก็ให้ท่านใช้ม่านทึบแสงในการปิดหน้าต่างที่ศีรษะในเวลานอนได้



                     อย่างไรก็ตามความรู้ดังกล่าวยังถือว่าเป็นเพียงความรู้เบื้องต้นเท่านั้น เพราะในทิศหลัก 4 ทิศ คือ ใต้ , ออก , เหนือ และตกนั้น ในศาสตร์ฮวงจุ้ยชั้นสูงได้แบ่งออกเป็น 24 ทิศทางย่อย และในทุก 4 ทิศทางหลักจะมีทั้งทิศดีและทิศไม่ดีปะปนกันไป จึงไม่ได้แปลว่าบ้านหันหน้าทิศใต้หรือหันทิศเหนือแล้วจะดีเสมอไป เราจึงจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากซินแสที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการพิจารณาฮวงจุ้ยแบบละเอียดครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ธ.กสิกรไทย

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

รีวิวคอนโด The President Petchkasem-Bangkhae


รีวิวคอนโด The President Petchkasem-Bangkhae 
เดอะ เพรสซิเดนท์ เพชรเกษม-บางแค




ลักษณะโครงการ คอนโดมิเนียม 1 อาคาร สูง 27 ชั้น

พื้นที่โครงการ  3 ไร่ 2 งาน 15 ตารางวา

แบบห้องพัก
สตูดิโอ ขนาด 25.5 ตรม.
1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด  30 - 42 ตรม.
2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 52 ตรม.


สิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำ
- Fitness
- สวนหย่อมชั้น 1, 5, และ rooftop
- ที่จอดรถชั้น 1-4 และ 4M
- ลิฟท์โดยสาร 3 ชุด - ลิฟท์บริการ 1 ชุด
- ACCESS CONTROL CARD,CCTV
- เจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม

จุดเด่นโครงการ
ติดห้าง The Mall บางแค ใกล้ศูนย์การค้า Tesco Lotus, Paseo Park, Seacon, IT City
สุดยอดทำเลข้างสถานีรถไฟฟ้า MRT หลักสอง เพียง 4 สถานีถึง BTS & MRT บางหว้า Interchange
ติดถนนใหญ่วงแหวนกาญจนาภิเษก
ใกล้สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยสยาม
อุ่นใจเพียงนาทีถึงรพ.เกษมราษฎร์ เพชรเกษม และยังใกล้กับ รพ.บางไผ่ และรพ.ศิริราช
เพลินเพลินและสดชื่นกับสวนสาธารณะใหญ่หน้าโครงการ


ราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท

เจ้าของโครงการ  Chaipattana Land
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติ่ม  http://thepresidentcondo.com/






อยู่คอนโดอย่างไรให้ปลอดภัย



                


 ในชั่วโมงนี้ คงไม่มีอะไรมาฉุดความร้อนแรงของตลาดคอนโดฯ อีกแล้ว ความต้องการอยู่อาศัยในคอนโดฯ กำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในเมืองไทยขณะนี้ และจะกลายเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยหลักของเมืองหลวงแห่งนี้ในอนาคต

                   ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าการอยู่รวมกันมาก ๆ ไม่เพียงแต่จะมีโอกาสเกิดเรื่องราวกระทบกระทั่งกันระหว่างห้อง ดังคำพูดที่ว่า “ มากคนก็มากความ” แต่ยิ่งมากคน ความปลอดภัยก็อาจน้อยลงไปด้วย

Tip ครั้งนี้ มีข้อมูลในการพิจารณาเกี่ยวรับระบบความปลอดภัยในตึกสูงมาฝากกันครับ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก โดยต้องพิจารณาสิ่งต่างๆดังนี้

                    1.บันไดหนีไฟ กฎหมายบังคับให้อาคารสูงต้องมีบันไดหนีไฟอย่างน้อย 2 ตัว มีประตูเหล็กกันไฟและเปิดออกได้ตลอด ห้ามปิดล็อค และประตูจะต้องติด Door Closer ให้ประตูปิดได้เองป้องกันไม่ให้ควันเข้าไปในช่องบันได ภายในช่องบันไดต้องสามารถระบายอากาศได้ ทางเดินในแต่ละชั้นควรต่อเนื่องไปยังบันไดหนีไฟทั้ง 2 ตัวได้ ไม่ใช่ทางตัน เพื่อว่าในกรณีที่ทางไปบันไดตัวหนึ่งเกิดเพลิงไหม้ ไม่สามารถผ่านไปได้ ก็ยังมีอีกทางที่จะไปยังบันไดหนีไฟอีกหนึ่งตัว ทำให้เราหนีไฟได้อย่างปลอดภัย

       


                     2.ระบบเตือนเพลิงไหม้และระบบดับเพลิง ระบบเตือนเพลิงไหม้ประกอบด้วยตัวดักจับควัน (Smoke Detector) หรือตัวดักจับความร้อน (Heat Detector) ที่เห็นตามฝ้าเพดาน กรณีเกิดควันหรือความร้อนไฟไหม้อุปกรณ์ทั้งสองตัวจะส่งสัญญานเตือนไปยังศูนย์ควบคุม ผู้ที่อยู่ในศูนย์ฯ ก็จะทราบว่าเพลิงไหม้ที่บริเวณไหนและสามารถขึ้นไปดับเพลิงในจุดนั้นๆได้ทันที


                     3.การดับเพลิง นั้นมีทั้งที่เป็นระบบอัตโนมัติหรือที่เรียกว่า Sprinkler และระบบที่ต้องใช้คนดับ คือ สายดับเพลิง ในอาคารสูงต้องมีทั้ง 2 สิ่งนี้

                     Sprinkler คือ ท่อน้ำที่เดินอยู่บนฝ้าเพดานแล้วต่อหัวที่มีลักษณะเป็นกระเปราะแก้วลงมากระจายไปทั่วบริเวณ เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นถึงอุณหภูมิที่กำหนด หัว Sprinkler จะแตก น้ำในท่อซึ่งถูกปั๊มให้มีแรงดันสูงจะพ่นกระจายลงมาช่วยดับเพลิงในระยะเริ่มต้น



                    ส่วนสายดับเพลิงนั้นจะต้องติดตั้งอย่างน้อยชั้นละ 1 จุด ถ้าแต่ละชั้นมีพื้นที่กว้างมากจะต้องมีสายดับเพลิงมากกว่า 1 จุด สามารถลากได้ยาว 30 เมตร ตำแหน่งที่ติดตั้งต้องครอบคลุมทุกบริเวณ ภายในอาคารสูงต้องมีลิฟต์ 1 ตัวที่จะใช้เป็นช่องทางสำหรับพนักงานดับเพลิง และภายในโถงลิฟต์ดับเพลิงจะต้องมีสายดับเพลิงติดตั้งอยู่ด้วย
  


                     ในอาคารสูงไม่เพียงแต่จะต้องมีระบบเหล่านี้ครบถ้วนเท่านั้น แต่ทุกระบบต้องตรวจสอบสภาพให้พร้อมใช้งานได้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ควรได้รับการฝึกฝนและพร้อมอยู่เสมอ ขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัย ก็ต้องมีการซ้อมหนีไฟเพื่อให้รู้จักวิธีการปฏิบัติตนเมื่อเกิดเพลิงไหม้ เหตุฉุกเฉินดังกล่าว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก homedecorthai.com

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

5 สิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อคอนโด

           การตัดสินใจซื้อคอนโดนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากตัดสินใจผิดพลาดไป คุณอาจต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมแย่ ๆ แถมยังต้องเสียเงินจำนวนมากไปอย่างไม่คุ้มค่าอีกด้วย เพราะฉะนั้น คุณจึงควรศึกษาข้อมูลของคอนโดที่จะซื้อให้ดีก่อนตัดสินใจ ด้วยการทำตามวิธีการนี้


1. ถามเรื่องค่าใช้จ่าย

สิ่งนี้นับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่คุณต้องรู้ก่อนซื้อคอนโด เพราะคุณควรรู้ส่วนที่ต้องจ่ายหลัก ๆ เพื่อคิดงบประมาณและรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่คุณต้องจ่ายนั้นได้แก่ เงินดาวน์และค่าบำรุงดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง อย่างไรก็ตาม คอนโดบางที่อาจมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้ต้องซ่อมบำรุงคอนโดเกินงบประมาณของค่าบำรุงดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง

2. คอนโดทุกที่มีกฎทั้งนั้น

แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกันในคอนโดนั้นต่างจากบ้านเดี่ยว เพราะคุณต้อเกรงใจคนรอบข้าง ไม่สามาถทำอะไรตามใจชอบได้ ทุกคอนโดจึงมีกฎตั้งเอาไว้ เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม กฏที่ตั้งไว้ของคอนโดแต่ละที่นั้นต่างกัน บางที่อาจมีกฎเรื่องเสียงรบกวน ห้ามเลี้ยงสัตว์ หรือมีกฎข้อบังคับในการดัดแปลงต่อเติมบ้าน เพราะฉะนั้นควรอ่านกฎเหล่านี้ให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ

3. รายละเอียดเกี่ยวกับการปรับปรุง

การซ่อมแซมหรือขยายคอนโดนั้นส่งผลกระทบต่อคุณโดยตรง เพราะมีความเป็นไปได้ว่าคุณจะต้องจ่ายค่าบำรุงส่วนกลางมากขึ้น จากการที่คอนโดต้องการค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นลองสอบถามดูให้ดีว่าทางคอนโดมีทุนสำรองไว้สำหรับซ่อมแซมคอนโดเผื่อไว้ประมาณเท่าไหร่ และมีโครงการจะสร้างอะไรเพิ่มเติม เช่นสระว่ายน้ำบ้างหรือไม่

4. ผู้ดูแลโครงการ

คอนโดส่วนใหญ่ควรมีผู้ดูแลโครงการรับผิดชอบดูแล ในกรณีที่เกิดการเรียกค่าบำรุงซ่อมแซมมากเกินความเป็นจริง หรือมีโครงการที่ผิดข้อกฎหมาย จะได้มีคนรับผิดชอบ นอกจากนี้ ผู้ดูแลคอนโดก็เป็นคนสำคัญเช่นกัน เพราะหากเรามีเรื่องร้องเรียนในคอนโด เช่นของหาย หรือถูกข้างห้องรบกวนก็จำเป็นต้องพึ่งพาเขา จึงควรดูให้ดีว่าเขามีปัญหากับผู้เช่ามากจนผิดสังเกตุหรือเปล่า

5. เช็คเอกสารดูให้ดี

ผู้ซื้อควรได้รับเอกสารด้านการเงินครบทั้งหมดอย่างน้อย 3 วันก่อนการปิดสัญญาซื้อ เพื่อจะได้มีเวลาตรวจอ่านให้ละเอียด ทั้งนี้ คอนโดส่วนใหญ่มักพยายามเอาเปรียบผู้ซื้อด้วยการส่งเอกสารไม่ครบถ้วน เพียงแค่วันเดียวหรือ 2 วันก่อนปิดสัญญาซื้อขาย ดังนั้นคุณจึงควรโทรเร่งเอกสารจากเขาด้วยตัวเอง หากไม่ได้รับเอกสารภายใน 3 วัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ กับ "บ้านที่มีหัวใจ"


บจ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์  ลุยเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการแรก ภายใต้ชื่อแบรนด์ วิรัณยาบนทำเลศักยภาพย่าน วงแหวน-อ่อนนุช  ภายใต้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอดผ่านสายฝน  ยังมั่นใจในตัวสินค้าและศักยภาพของทำเล  ชูจุดขาย บ้านที่มีหัวใจ  ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5.59 ลบ. พร้อมวางเป้ายอดขายไว้มากกว่า   80  ลบ. ภายในสิ้นปีนี้  คาดสิ้นปีนี้ยอดขายรวมทุกโครงการอยู่ที่  1,700 ลบ. เติบโต  60 % จากปีที่แล้ว

นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ กรรมการผู้จัดการ  บจ.เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมทั้ง คอนโดมิเนียม  เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์  ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิต และบ้านเดี่ยว เผยเกี่ยวกับการเปิดตัว วิรัณยา (Viranya) วงแหวน-อ่อนนุช  บ้านเดี่ยวโครงการแรกจากเรียลแอสเสทฯ ว่า “เรียลแอสเสทฯ ได้ศึกษาวิจัยถึงศักยภาพที่ดินและพบว่าที่ดินทำเลในย่านวงแหวน-อ่อนนุช เป็นย่านที่มีการเติบโตและมีการขยายตัวของเมืองสูง  การคมนาคมสามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง รวมทั้งยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย  ด้วยปัจจัยบวกดังกล่าวทำให้เรามีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและนำแบรนด์ใหม่ วิรัณยาลงในพื้นที่นี้
วิรัณยา(Viranya)” วงแหวน-อ่อนนุช นับเป็นโครงการที่ 9 จากเรียลแอสเสทฯ และเป็นผลงานบ้านเดี่ยวแบรนด์แรกของบริษัทฯ  โดยเราให้ความทุ่มเทในทุกๆรายละเอียดของกระบวนการพัฒนาและออกแบบภายใต้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวดีๆที่ถ่ายทอดผ่านสายฝน  ซึ่งก่อกำเนิดความเจริญงอกงาม ความสดชื่น และความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย  ภายใต้แนวคิด บ้านที่มีหัวใจ เน้นการออกแบบที่สอดประสานธรรมชาติกับการอยู่อาศัยและกิจกรรมของทุกๆคนในครอบครัวได้อย่างลงตัว
โครงการ วิรัณยา มีมูลค่าโครงการ 1,172 ลบ. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5.59 ลบ. แนวคิดในการออกแบบเป็นสไตล์ Modern ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านวงแหวน-อ่อนนุช  ถนนเลียบวงแหวนกาญจนาภิเษก มีพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 43-1-65 ไร่ จำนวน 169 ยูนิต ประกอบด้วยบ้าน 3 แบบ ได้แก่ แบบ Floretta ขนาดพื้นที่ใช้สอย 141 ตร.ม.3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  แบบ Blooma ขนาดพื้นที่ใช้สอย 154 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และแบบ Matura  ขนาดพื้นที่ใช้สอย 171 ตร.ม.  4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ภายในถูกออกแบบให้ลงตัวแบบ Multi-Purpose  รวมทุกกิจกรรมความสุขของทุกคนในครอบครัว  พร้อมเพิ่มมุมมองที่กว้างกว่าและเชื่อมต่อสวนหน้าบ้านด้วยกระจกเข้ามุม  ตัวบ้านถูกออกแบบให้ดูกว้างเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมภายในครอบครัวได้มากขึ้น  สภาพแวดล้อมภายในโครงการมีบรรยากาศที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่  พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Next Generation Security Entrance และกล้อง CCTV ทั่วโครงการ  นอกจากนั้นยังมีสโมสร 2 ชั้นขนาดใหญ่ ฟิตเนสและสระว่ายน้ำ สวนภายในโครงการเชื่อมต่อให้เป็Jogging Track ให้สามารถออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ  ในด้านการเดินทางยังสะดวกสบาย เข้าเมืองได้หลายเส้นทาง ทั้งจากวงแหวนพระราม 9 และบางนา ใกล้ทางด่วนวงแหวนฝั่งใต้ ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนบูรพาวิถี และยังใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภค อาทิ โรงพยาบาล, สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้า IKEA , เซ็นทรัล บางนา, พาราไดซ์ พาร์ค และซีคอน สแควร์ เป็นต้น

           

นายสกุลธร กล่าวเพิ่มเติมถึงผลประกอบการของเรียลแอสเสทฯในปีนี้ ว่า ปัจจุบันเรียลแอสเสทฯมีโครงการทั้งหมด  9 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมเดอะสเตจ  (เตาปูนอินเตอร์เชนจ์) 1 โครงการ  ทาวน์โฮมโครงการ ได้แก่เพล็กซ์ 3 โครงการ (บางนา วัชรพล นวมินทร์) และสตอรี่ส์  (วงแหวน อ่อนนุช)  1โครงการ โฮมออฟฟิศ  2 โครงการ ได้แก่ เอ็นเตอร์ไพรซ์ ปาร์ค และ เดอะพรีเที่ยม  (บางนา)  เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ปารค์ ไนน์ทีน 19 (เอกมัย 19)  1 โครงการ และล่าสุดโครงการบ้านเดี่ยววิรัณยา (วงแหวน-อ่อนนุช) อีก 1 โครงการ   ซึ่งในปีนี้บริษัทฯมียอดขายรวมมากกว่า 1,700  ลบ. โดยได้มาจากคอนโดมิเนียม 600 ลบ. ทาวน์โฮม 720 ลบ. โฮมออฟฟิศ 300 ลบ. และจากบ้านเดี่ยว  80 ลบ.   ด้านยอดโอนรวมทั้งหมด  1,000 ลบ. เติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 30%  สำหรับมุมมองตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลัง ผมมองว่าจากภาวะเศษฐกิจจะยังมีการชะลอตัว แต่บริษัทฯมีความมั่นใจในศักยภาพของที่ดินที่เรามีอยู่ เรายังสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้นในครึ่งปีหลังเรายังมุ่งหวังจะมอบความสุขในทุกมิติของการอยู่อาศัยภายใต้สโลแกน  We build real matters  for living  เราสร้างสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต โดยใส่ใจความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ผ่านมิติต่างๆเช่น การสร้างสังคมคุณภาพ  การออกแบบไลฟ์สไตล์ การออกแบบนวัตกรรมใหม่ๆ ความปลอดภัย และการใส่ใจในเรื่องคุณภาพ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้จัดเตรียมกิจกรรมเพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกครอบครัว Real Family  ตลอดทั้งปี  เพราะเราเชื่อว่าบ้านไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่บ้านเป็นศูนย์รวมของความรัก ความอบอุ่นภายของสมาชิกในครอบครัว
            โครงการ วิรัณยา (Viranya) วงแหวน-อ่อนนุช พร้อมเปิด Exclusive VIP day  ในวันที่ 22-23 สิงหาคมนี้  ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5.59 ลบ. พร้อมข้อเสนอโปรโมชั่นพิเศษสุด  จองในงานรับส่วนลด 50,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที061-416-9666






วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รีวิวคอนโด แอสปาย เอราวัณ (Aspire Erawan by AP )

รีวิวคอนโด  Aspire Erawan คอนโดเปิดใหม่ ติดสถานี BTS เอราวัณ

 Aspire Erawan
ลักษณะโครงการ คอนโดมิเนียม ความสูง 31 ชั้น 1 อาคาร ที่ตั้งโครงการ ถนนสุขุมวิม อยู่ติดกับ BTS  ส่วนต่อขยาย สถานีเอราวัณ   แต่ตัวอาคารจะอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 160 ม. จากทางเข้าหน้าโครงการ

แบบห้องพัก
สตูดิโอ ขนาด 25.5 ตรม.
1 ห้องนอน ขนาด  29.5 - 30 ตรม. 
1 ห้องนอน พลัส ขนาด  35 ตรม.
2 ห้องนอน ขนาด 47 ตรม.

สิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำ ยาว 31 ม.   ฟิตเนส  และห้องสตรีม  บนชั้น 5 - Sky High Garden  บนชั้น 31  ขมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
- ลิฟท์โดยสาร 6 ตัว และลิฟท์ขนของ 2 ตัว
- รปภ. 24 ชม. ระบบ CCTV และ Key Card Access

ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท

เจ้าของโครงการ เอพี  ( AP )

ลงทะเบียนรับสิทธพิเศษ  http://www.apthai.com

จุดเด่นโครงการ
โครงการอยู่ติด BTS เอราวัณ  เพียง 1 ก้าว   สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัยที่ต้องการใช้รถไฟฟ้า  แต่ก็มีระยะเดินจากหน้าทางเข้าโตรงการ ถึงตัวอาคาร ประมาณ 160 ม.  
ส่วนที่ดินที่อยู่ติดถนนใหญ่จะมีทำเป็นโครงการในอนาคต  ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีมากมาย แต่ที่สำคัญ  ก็คือ Sky High Garden บนชั้น 31  เพราะสามารถขมวิวโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยา  และอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการนี้ คือ  ห้องแบบ 1 Bed Plus ที่มีพื้นที่ขนาด 35 ตร.ม.   ที่สามารถทำเป็น 1 ห้องนอน และ 1ห้องอเนกประสงค์  หรือจะปรับเป็น 2 ห้องนอนก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของเจ้าของห้องเลย






วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

โฉมใหม่ แฟลตดินแดง ตึกสูง 25 ชั้นคนจนผ่อนได้



ภารกิจเร่งด่วนของ "พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว" เจ้ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นอกจากจะจัดหาบ้านราคาถูกมารองรับผู้มีรายได้น้อย ที่แปลงโฉมจาก "บ้านเอื้ออาทร" มาเป็น "บ้านยั่งยืน" เปิดจองใหม่ในราคาไม่เกิน 5 แสนบาท ตามนโยบายบิ๊กตู่แล้ว

อีกเผือกร้อนจะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จภายใต้รัฐบาลชุดนี้คือ การพัฒนาโครงการแฟลตดินแดง ที่สร้างกันมานานตั้งแต่ 2506 ให้มีสภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลังยืดเยื้อกันมานานหลายปี จะทุบทิ้ง-ไม่ทุบทิ้ง เพราะมีทั้งคนคัดค้านและเห็นด้วยกับโปรเจ็กต์ใหม่ที่ "กคช.-การเคหะแห่งชาติ" ออกแบบก่อสร้าง 

"เราพร้อมรับฟังปัญหาของผู้อยู่อาศัย ถ้ายังมีคนคัดค้าน เราจะต้องทำความเข้าใจ นโยบายคือให้การเคหะฯเดินหน้าโครงการไปตามแผน ยังไงโครงการนี้จะต้องทำให้ได้ภายในรัฐบาลนี้อย่างแน่นอน" พล.ต.อ.อดุลย์ย้ำเสียงหนักแน่น 

สำหรับสถานะโครงการล่าสุด "เจ้ากระทรวง พม." กล่าวว่า ขณะนี้การเคหะฯได้ออกแบบโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าในเร็ว ๆ นี้จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเพื่ออนุมัติแผนงานก่อสร้างและงบประมาณที่จะมาดำเนินการจะมาจากไหนได้บ้าง ซึ่งการพัฒนาโครงการจะต้องทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง 

ตามมาสเตอร์แพลนที่การเคหะฯวางไว้จะใช้เวลาพัฒนาประมาณ 8 ปี เริ่มต้นปี 2559 เป็นต้นไป จะเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เป็นอาคารสูง 25 ชั้น และ 35 ชั้น จะไม่มีศูนย์การค้าหรือพัฒนาเชิงพาณิชย์รูปแบบอื่นแต่อย่างใด 

"เรื่องแฟลตดินแดงก็เป็นเรื่องของคนดินแดง ที่อยู่อาศัยที่จะพัฒนาจะมีรองรับผู้อยู่อาศัยเดิมก่อนเป็นลำดับแรก ประมาณ 6,000 ยูนิต จากทั้งหมด 20,292 ยูนิต เพราะจะสร้างเพื่อให้กลุ่มผู้อยู่อาศัยรายใหม่ด้วย นอกจากผู้มีสิทธิ์เดิมอยู่แล้ว"

พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวอีกว่า โดยปี 2559 การเคหะฯจะสร้างตึกใหม่สูง 25 ชั้น จำนวน 334 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33 ตารางเมตร บริเวณหัวมุมสามเหลี่ยมดินแดง พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ที่สามารถสร้างได้ทันทีหากได้รับการอนุมัติจาก ครม. เพื่อมารองรับผู้อยู่อาศัยเดิม จำนวน 5 อาคาร คืออาคาร 18-20 และอาคาร 21-22 

"หลักการของเราคือ จะสร้างตึกใหม่ให้อยู่ก่อน แล้วค่อยไล่รื้อหรือทุบไปทีละอาคาร เพื่อลดผลกระทบของผู้อาศัยไม่ให้มีความเดือดร้อนหาที่อยู่อาศัยใหม่"

สำหรับอัตราค่าเช่าภายใต้โครงการใหม่นี้ "พล.ต.อ.อดุลย์" กล่าวย้ำว่า ถ้าเป็นกลุ่มผู้อยู่อาศัยเดิมจะคิดค่าเช่าในราคา 1,000 บาท /เดือน/ห้อง จากปัจจุบันเช่าอยู่ในราคา 300 บาท/เดือน/ห้อง หรือหากเช่าอยู่ 600 บาท/เดือน/ห้อง จะเป็นราคา 1,500 บาท/เดือน/ห้อง ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นผลดีทั้ง 2 ฝ่าย 

ขณะที่โครงการสร้างคอนโดฯราคาถูกแนวรถไฟฟ้า "พล.ต.อ.อดุลย์" กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเร่งให้การเคหะฯนำเสนอโครงการ เพราะเป็นนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) แต่โครงการไหนที่ทำได้ก่อน เช่น โครงการบ้านยั่งยืน ก็อาจจะมีเฟสต่อไปในอนาคต ให้การเคหะฯไปพิจารณาพื้นที่โครงการที่จะมาพัฒนา ซึ่งราคาจะพยายามไม่ให้เกินยูนิตละ 500,000-600,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเลและต้นทุนด้วย 

"อะไรที่เป็นนโยบาย เราจะเร่งให้เห็นเป็นรูปธรรมในปีหน้า อะไรที่เรามีของเดิมอยู่แล้ว ก็เร่งผลักดันตรงนี้ไปก่อน โครงการใหม่ก็ต้องทำต่อไป เน้นผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก และยังมีโครงการเช่าที่อยู่แนวรถไฟและรถไฟฟ้าด้วยอีก 1 หมื่นยูนิต ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี เพราะจากผลการศึกษาปีི มีผู้มีรายได้ประมาณ 4 ล้านคนที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัย"

เช่นเดียวกับโครงการสร้างแฟลตให้เช่าใน 6 เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ จ.ตาก สระแก้ว ตราด มุกดาหาร สงขลา และหนองคายที่ พล.ต.อ.อดุลย์ย้ำว่า ต้องรอผลการศึกษาโครงการ ที่ดิน รูปแบบ เงินลงทุน สิ่งแวดล้อม ต้องใช้เวลา แต่จะได้เห็นแน่ ๆ ในปีหน้า พ่วงด้วยโครงการที่อยู่อาศัยให้เช่าอีกประมาณ 10,000 ยูนิตที่กำลังรอเข้า ครม.ในเร็ว ๆ นี้ 

หาก "ครม." ไฟเขียว ทุกโครงการ จะเริ่มปักหมุดปี 2559

ที่มา :  ประชาชาติธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เสร็จแล้วศึกษาสายม่วงใต้ เตาปูนไปราษฎร์บูรณะ-รฟม.เตรียมส่งคมนาคมเสนอ ครม.

ผลศึกษา รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ เสร็จแล้ว รฟม.ส่งคมนาคม เสนอ ครม. อนุมัติ คาดประมูลต้นปี 59



เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2558 นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย รฟม. กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 23.6 กิโลเมตร ว่า ขณะนี้ที่ปรึกษาโครงการได้รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนไปเรียบร้อยแล้ว รฟม.ได้มีการสรุปและเสนอรายละเอียด ผลการรับฟังความคิดเห็น ผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปยังกระทรวงคมนาคม เพื่อส่งไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบอนุมัติโครงการ ทั้งนี้คาดว่า จะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในเร็วๆนี้ หลังจาก ครม.อนุมัติแล้วขั้นตอนต่อไป รฟม.จะจัดทำเอกสารการประกวดราคาและรายละเอียดในการร่างขอบเขตการทำงาน ซึ่งคาดว่าประมาณต้นปี 2559 จะสามารถเปิดประกวดราคาสายสีม่วงใต้ได้ ทั้งนี้จากผลการรับฟังความคิดเห็นพบว่ามีประชาชนบางกลุ่มยังคัดค้านการก่อสร้าง รฟม.ก็จะต้องเร่งหาวิธีการเจรจาและการเยียวยาเพื่อลดผลกระทบให้มากที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้
สำหรับ รถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ เริ่มจาก จุดเชื่อมต่อสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ที่สถานีเตาปูน เป็นโครงสร้างลอยฟ้าก่อนเปลี่ยนระดับเป็นใต้ดินเข้าถนนสามเสนผ่านรัฐสภาแห่งใหม่ โรงเรียนราชินีบน กรมชลประทาน โรงพยาบาลวชิระ หอสมุดแห่งชาติ คลองบางลำพู เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระสุเมรุ ผ่านวัดบวรนิเวศวิหาร แยก ผ่านฟ้า ถนนราชดำเนินกลาง ถนนมหาไชย วัดราชนัดดา ถนนจักรเพชร ลอดแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานพระปกเกล้าเข้าถนนประชาธิปก สี่แยกบ้านแขก วงเวียนใหญ่ ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน แยกมไหสวรรย์ ถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นยกระดับผ่านแยกจอมทอง แยกประชาอุทิศ ข้ามทางด่วนเฉลิมมหานคร ถนนราษฎร์บูรณะ สิ้นสุดที่เส้นทางบริเวณครุใน โดยจะเป็นโครงสร้างใต้ดิน 12.6 กม. ยกระดับ 7.8 กม. มี 17 สถานี แบ่งเป็นใต้ดิน 10 สถานี ยกระดับ 7 สถานี มีศูนย์ซ่อมบำรุง 1 แห่งที่วงแหวนอุตสาหกรรมและมีอาคารจอดรถ 2 แห่งบริเวณสถานีราษฎร์บูรณะและศูนย์ซ่อมบำรุง.

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์


วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

BTS เตรียมพัฒนาที่ดินกม. 11เสนอไอเดียพัฒนาคอนโดให้มนุษย์เงินเดือน

บีทีเอสตื๊อขอลงทุนก่อสร้างทางคู่แสนล้าน “ขอนแก่น-มาบตาพุด” พ่วงสัมปทานเดินรถ 50 ปี ทุ่มหมื่นล้านผุดคอนโดฯ สวัสดิการพนักงานรถไฟ 5 พันยูนิต แลกสิทธิ์เช่ายาวที่ดิน 359 ไร่ ย่าน กม.11 ลุยคอนโดปล่อยเช่า พื้นที่ใช้สอย 42-56 ตร.ม. อีก 5 พันยูนิต เนรมิตศูนย์การค้า โรงพยาบาล สวนรับรถไฟสีแดง “บางซื่อ-รังสิต เล็งสร้างโมโนเรลเชื่อมบางซื่อทะลุจตุจักร ด้าน “ประจิน” รื้อแผนพัฒนาที่ดินรถไฟ
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทเตรียมระดมทุนจากเงินกองทุนโครงสร้างพื้นฐานบีทีเอส 3 หมื่นล้านบาท และกระแสเงินสด 2 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนก่อสร้างและรับสัมปทานเดินรถโครงการรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-มาบตาพุด ระยะทางกว่า 500 กม. คาดว่าลงทุน 1.1 แสนล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้าง 7 หมื่นล้านบาท อีก 3 หมื่นล้านบาท เป็นงานระบบเดินรถ คืบหน้าล่าสุดอยู่ระหว่างหารือกระทรวงคมนาคมถึงรูปแบบการร่วมลงทุน

14361083681436109183l

ผุดเมืองใหม่ย่าน กม.11
ขณะเดียวกัน บริษัทสนใจพัฒนาที่ดิน 359 ไร่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) บริเวณ กม.11 โดยเสนอแนวคิดเบื้องต้นให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พิจารณาแล้ว และมีกำหนดหารือครั้งต่อไปภายในกลาง ก.ค.นี้ เกี่ยวกับระยะเวลาการเช่าและผลตอบแทน
เสนอพัฒนาโครงการเมืองใหม่ ใกล้สถานีกลางบางซื่อ ในแนวรถไฟสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ที่กำลังก่อสร้าง รูปแบบเป็นคอนโดมิเนียม 10 อาคาร ประมาณ 1 หมื่นยูนิต สำหรับเป็นสวัสดิการพนักงานรถไฟ 5พันยูนิต และให้คนทั่วไปที่เป็นมนุษย์เงินเดือนเช่าระยะยาว 10-30 ปี ยังมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ เช่น ศูนย์การค้า โรงพยาบาล
นายคีรีกล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทสนใจลงทุนสร้างระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) เชื่อมการเดินทางรอบ กม.11 และพื้นที่ใกล้เคียง มีอยู่ในแผนการพัฒนาของการรถไฟฯ โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ประจินรื้อโมเดลที่ดินรถไฟ
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้แผนพัฒนาที่ดินการรถไฟฯแปลงใหญ่ 2 แปลง มีความชัดเจนถึงคอนเซ็ปต์การพัฒนาเรียบร้อยแล้ว เน้นเรื่องเชิงสังคมมากขึ้น คือ ย่านมักกะสัน 497 ไร่ เน้นพัฒนาเป็นพื้นที่สีเขียวหรือปอดคนกรุงเทพฯ 150 ไร่ เชิงพาณิชย์ 140 ไร่ เช่นเดียวกับที่ดินย่าน กม.11 ให้ความสำคัญการพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นสวัสดิการพนักงานรถไฟ 8-8.5 พันครอบครัว แยกเป็นที่อยู่บริเวณ กม.11 ประมาณ 5-6 พันครอบครัว และย้ายมาจากย่านมักกะสันอีก 2 พันครอบครัว รวมถึงที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้ปานกลาง สวนสีเขียว สันทนาการและพื้นที่เชิงพาณิชย์ เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม ร้านค้า เป็นต้น จากเดิมรถไฟออกแบบเน้นพัฒนาเชิงพาณิชย์ 100% ซึ่งที่ดินแปลงนี้ทางบีทีเอสสนใจพัฒนา ส่วนที่ดินสถานีแม่น้ำ 277 ไร่ยังไม่สรุปจะพัฒนาเชิงพาณิชย์ตามที่การรถไฟฯออกแบบไว้หรือเน้นการพัฒนา เชิงสาธารณะ ขอดูรูปแบบที่รถไฟศึกษาโครงการไว้ก่อน
คอนโดบีทีเอส 42-56 ตร.ม.
ทั้งนี้ มีกำหนดนัดบีทีเอสกรุ๊ปมาหารือภายในกลาง ก.ค.นี้ เพื่อติดตามความคืบหน้า โดยบริษัทเสนอพัฒนา 5 ส่วน คือ 1.สร้างคอนโดมิเนียม 5,000 ยูนิต รองรับพนักงานการรถไฟฯ 5,000 ครัวเรือน ออกแบบห้องชุด 2 ไซซ์ 42 และ 56 ตารางเมตร โดยบริษัทจะสร้างให้ฟรี เพื่อแลกเปลี่ยนกับการพัฒนาพื้นที่ส่วนที่เหลือ 2.พื้นที่ค้าขายสำหรับผู้ประกอบการที่ค้าขายบริเวณ กม.11 เดิม 3.สวนสาธารณะ 4.สร้างคอนโดฯ ให้เช่าสำหรับผู้มีรายได้ปานกลาง และ 5.พื้นที่เชิงพาณิชย์
นอกจากนี้มีการหารือแผนลงทุนระบบเดินรถสินค้า รถไฟทางคู่ ขนาดราง 1 เมตร เส้นทางขอนแก่น-มาบตาพุด ระยะทาง 500 กม. รวมถึงผลตอบแทนที่บริษัทจะแบ่งสัดส่วนรายได้ให้กับการรถไฟฯ คาดว่าจะเป็นการลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชนรูปแบบ PPP ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2556
บริษัทเสนอการเดินรถรูปแบบใหม่เป็นหัวรถจักรไฟฟ้า ก็ตรงกับนโยบายจะเปลี่ยนการใช้รถจักรดีเซลเป็นไฟฟ้า จึงให้บริษัทไปทำรายละเอียดการจัดสรรพลังงานไฟฟ้าที่จะป้อนเข้าไปในระบบด้วย โครงการนี้อาจจะยังไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้
คีรีขอสัมปทานทางคู่ 50 ปี
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าการการรถไฟฯกล่าวว่า ทั้ง 2 โครงการเป็นการลงทุนรูปแบบPPP โดยการเดินรถด้วยหัวรถจักรไฟฟ้าถือว่าเป็นโครงการที่ดี ทางบีทีเอสเสนอขอรับสัมปทาน 50 ปี ส่วนการพัฒนาที่ดินย่าน กม.11 บริษัทเป็นผู้ลงทุน 1 หมื่นล้านบาทสร้างคอนโดฯ รองรับพนักงานรถไฟ ทั้งย่าน กม.11 และมักกะสัน ที่มีแผนจะย้ายจะเป็นลักษณะชุมชนรถไฟ ส่วนพื้นที่ 100 ไร่ที่เหลือเป็นสวนสาธารณะ และพื้นที่เชิงพาณิชย์กว่า 100 ไร่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรถไฟทางคู่ที่บีทีเอสสนใจเป็นโครงการที่กำลังจะเปิดประมูลปีนี้ ค่าก่อสร้างรวม 67,210 ล้านบาท ได้แก่ ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย 106 กม. 11,348 ล้านบาท, มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 172 กม. 29,855 ล้านบาทและจิระ-ขอนแก่น 185 กม. 26,007 ล้านบาท รวมถึงช่วงฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง 78 กม. 

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558


ประเภทของ Wallpaper

วอลเปเปอร์ แบ่งออกเป็น 6 ชนิดตาม วัสดุที่นำมาทำวอลเปเปอร์ ดังนี้
1. วอลเปเปอร์กระดาษ ทำจากกระดาษมีเนื้อหนาน้อยกว่าวอลเปเปอร์ชนิดอื่นๆ ติดง่าย สะดวก มีลวดลายและสีสันให้เลือกเยอะ แต่มีปัญหาในการทำความสะอาด เพราะกระดาษซับน้ำได้ง่าย จึงควรเลือกแบบที่เคลือบไวนิลด้วย เพื่อให้ทำความสะอาดง่าย ไม่ดูดซับน้ำ
2. วอลเปเปอร์ผ้า ทำจากผ้าซึ่งจะให้ความรู้สึกและผิวสัมผัสที่อ่อนนุ่ม  เวลาสัมผัสรู้สึกถึงความละเอียดของเนื้อผ้า  เหมาะกับห้องที่ไม่พลุกพล่าน อาจเป็นผ้าไหม ผ้าลินิน หรืออื่นๆ เคลือบอยู่บนชั้นกระดาษ วอลเปเปอร์ผ้าใช้ได้ดีกับผนังห้องที่มีผิวไม่เรียบ แต่จะมีราคาแพงและทำความสะอาดยาก  แต่จะมีความคงทนสูงไม่ฉีกขาดง่าย
3. วอลเปเปอร์ไวนิล ( vinyl wallpaper )  เป็นชนิดที่นิยมใช้มากที่สุด  สามารถสร้างลวดลาย หรือสามารถกำหนดควาทมลึก ตื้นของลายได้  และที่สำคัญจะไม่มีปัญหาเรื่องความเปียกชื้น คราบน้ำมัน และคราบฝุ่นเกาะ และทำความสะอาดง่าย เพียงใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่เช็ด คราบเลอะๆก็จะหมดไป นอกจากนี้ไวนิลยังมีความทนทาน จึงเหมาะกับบริเวณที่ต้องใช้งานมาก
4. วอลเปเปอร์แผ่นฟอยล์ ทำจากฟอยล์มีลักษณะเป็นมันเงา วอลเปเปอร์ชนิดนี้จึงให้อารมณ์หรูหรา เหมาะกับพื้นที่เล็ก ๆ เพราะมีราคาแพง ไม่ทนทาน และติดยาก
5. วอลเปเปอร์เส้นใยสังเคราะห์  (non-woven wallpaper) มีลักษณะคล้ายผ้า มีความทนทานสูง มีความเหนียวฉีกขาดยาก ติดง่าย และสามารถลอกออก ได้  สามารถใช้ได้กับผนังและเพดาน มีส่วนช่วยป้องกันความร้อน   แต่ไม่ควรติดในห้องน้ำและห้องครัว เนื่องจากเป็นห้องที่มีความชื้นสูง อาจทำให้วอลเปเปอร์หลุดร่อนหรือขึ้นราได้
6. วอลเปเปอร์เนื้อโฟม เนื้อวอลเปเปอร์จะหนาและมีลายนูนออกมา ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มเวลาสัมผัส นิยมใช้ติดเพดานเพราะจะช่วยเก็บรอยต่อ หรือรอยฉาบที่ไม่เรียบ   และยังมีคุณสมบัติช่วยเก็บเสียงในระดับนึง

วิธีการเลือกวอลเปเปอร์

หลังจากรู้จักกับประเภทของวอลเปเปอร์ ต่างๆกันแล้ว สิ่งสำคัญต่อไปซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเลือก สีและลวดลายเนื่องจากการตกแต่งบ้านด้วยวอลเปเปอร์ อาจทำห้องเล็กให้ดูกว้างขึ้น ห้องใหญ่ให้ดูแคบลง หรือ ทำให้ห้องดูสว่างขึ้นได้ มาเริ่มกันเลยกับเกร็ดความรู้เรื่องการเลือกสีและลวดลายของวอลเปเปอร์ให้เหมาะกับห้องแต่ละห้อง
1. การเลือกโทนสีของวอลเปเปอร์ ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง  โทนสีเข้มจะทำให้รู้สึกว่าห้องมีขนาดเล็กกว่าปกติ  โทนสีอ่อนจะทำให้รู้สึกว่าห้องมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ดังนั้นห้องที่มีขนาดใหญ่ก็สามารถเลือกได้ทั้งสีเข้ม และสีอ่อน  หรือจะใช้ทั้งสองสี โดยเลือกสีเข้มเป็นบางด้านของผนังเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับผนังด้านนั้น  ส่วนห้องที่มีขนาดเล็กก็ควรเลือกโทนสีที่สว่างห้องจะได้ดูไม่อึดอัด
2. เลือกขนาดของลายให้มีความเหมาะสมกับขนาดของห้องหากเป็นห้องเล็กๆไม่ควรเลือกลายที่ใหญ่เกินไปเพราะให้รู้สึกอึดอัด 
ห้องมีแสงสว่างมากควรหลีกเลี่ยงวอลเปเปอร์ที่มีสีสันลวดลายเรียบหรือสีอ่อนมาก เพราะจะทำให้มองเห็นลาย หรือโทนสีไม่ชัด
3. ส่วนห้องเด็กควรเลือกชนิดที่เป็นกระดาษที่เคลือบผิวด้วยพี.วี.ซี. เพราะว่าจะมีความคงทน และมีลวดลายให้เลือกหลากหลายแบบเพื่อเสริมสร้างการจินตนาการของเด็กๆ  และที่สำคัญจะทำความสะอาดได้ง่ายจากร่องรอยการขีดเขียน 
4. การเลือกวอลเปเปอร์ของแต่ละห้องหากเลือกให้แตกต่างกันหรือต่างสไตล์ก็ไม่ผิด แต่กลับทำให้บ้านไม่หน้าเบื่ออีกด้วย แค่ข้อควรระวังคือ ไม่ให้ลายวอลเปเปอร์โดดเด่นไม่เข้ากับสไตล์เฟอร์นิเจอร์ หรือลายของหน้าต่างในแต่ละห้องก็พอ
5. อายุการใช้งานของวอลเปเปอร์ จะอยู่ประมาณ 7-15  ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพวัสดุของวอลเปเปอร์  และการดูแลรักษา

การดูแลและทำความสะอาดวอลเปเปอร์

1.หมั่นทำความสะอาดบริเวณผิวหน้าของวอลล์เปเปอร์โดยใช้แปรงขนไก่ปัดฝุ่น
2. ถ้าบริเวณขอบริมผนังวอลล์เปเปอร์หลุดร่อน ให้ใช้กาวลาเท็กซ์ทาที่ผนังแล้วกดวอลล์เปเปอร์ให้แนบสนิทกับผนัง ส่วนที่มีกาวเลอะออกมาใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำ เช็ดทำความสะอาด ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดเช็ดอีกครั้ง
3.หากวอลล์เปเปอร์ฉีกขาด รือเป็นรอยชำรุดได้ สามารถซ่อมแซมด้วยเศษวอลล์ที่เหลือมาซ่อมปิดบริเวณที่ชำรุด เพื่อหยุดรอยชำรุดไม่ให้ขยายวงกว้างขึ้น พราะฉะนั้นเเศษวอล์เปเปอร์ที่เหลือเวลาติดกรุณาเก็บไว้อย่าทิ้ง 4.วอลปเปอร์แบบที่ล้างไม่ได้ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบเฉพาะซึ่งหาซื้อได้จากร้านขายวอลเปเปอร์ เลือกน้ำยาที่ใช้สารที่เหมาะสมกับพื้นผิววอลเปเปอร์ แต่ควรทดสอบก่อนการใช้ทำความสะอาดจริง โดยให้ลบรอยเปื้อนออกตามทิศทางเดียวกับการติดวอลเปเปอร์ 5.วอลเปเปอร์แบบที่ล้างได้ให้ใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำยาล้างผนังหมาด ๆ เช็ดเบา ๆ ที่รอยเปื้อน แล้วใช้ผ้าเนื้อนุ่มเช็ดซ้ำอีกครั้งก่อนจะปล่อยให้ผนังแห้งสนิท 6.หลีกเลี่ยงอย่าให้วอลเปเปอร์โดนแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้สีของวอลเปเปอร์ซีดจางได้ และควรป้องกันอย่าให้เกิดความชื้นเป็นเวลานานเพราะอาจเกิดเชื้อราขึ้นได้



วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ออฟฟิศให้เช่า' โตไม่ยั้ง! ขยายพื้นที่นอก 'ซีบีดี' / ค่าเช่าเพิ่มปีละ 5-6%

ออฟฟิศให้เช่า' โตไม่ยั้ง! ขยายพื้นที่นอก 'ซีบีดี' / ค่าเช่าเพิ่มปีละ 5-6%



ซีบีอาร์อี ชี้ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอโตไม่ยั้ง ขยายสู่พื้นที่นอกซีบีดีมากขึ้น เหตุที่ดินกลางเมืองไม่เหมาะพัฒนาเท่าคอนโดฯหรู คาดปี 58 มีสินค้าใหม่แล้วเสร็จเข้าสู่ตลาดราว 2 แสนตร.ม. ด้านอัตราค่าเช่าขยับขึ้นปีละ 5-6% เผยเทรนด์อาคารสำนักงานเกรดเอขยายตัวตามความต้องการของผู้เช่า แนะจับตาพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่สุขุมวิท-บางนา-ลาดพร้าว ด้าน ภิรัชบุรี เปิดตัวสวยมีผู้เช่าจองพื้นที่ล่วงหน้า 35%

                นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหารและหัวหน้าแผนกจัดหาพื้นที่สำนักงาน บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ให้บริการด้านการเป็นตัวแทนในการซื้อขาย และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์ตลาดอาคารสำนักงานว่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2558 พบว่า พื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ มีทั้งสิ้น 8.35 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2557 จำนวน 3.85 หมื่นตร.ม. จากอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ บนถนนสาทรใต้ โดยคิดเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเช่าจำนวน 7.5 ล้านตร.ม. และเป็นพื้นที่ว่างเพียง 9.1% ทั่วทั้งตลาดไม่ว่าจะเป็นทำเลในซีบีดีหรือนอกซีบีดีก็ตามเป็นอัตราเช่า พื้นที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2557 ถึง 10%

                "คาดการณ์ว่าใน ช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้จะมีพื้นที่สำนักงานใหม่เพิ่มเข้าสู่ตลาดอีกราว 1.7 แสนตร.ม.จาก 4 อาคาร ซึ่งได้แก่ ภิรัช ทาวเวอร์ บริเวณริมถนนสุขุมวิท 35 เมเจอร์ ทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท 55 ซอย 10 จี แลนด์ ทาวเวอร์ และอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในย่านพระราม 9 ในส่วนของราคาค่าเช่า พบว่าพื้นที่สำนักงานระดับเกรดเอในย่านซีบีดีมีราคาค่าเช่าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 860 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน คิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้น 3.2% ต่อปี ในขณะที่พื้นที่สำนักงานระดับเกรดเอที่ตั้งอยู่นอกซีบีดีมีราคาค่าเช่าโดย เฉลี่ย 683 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 12.3%"

                 เหตุที่ราคาค่าเช่าพื้นที่สำนักงานระดับเกรดเอที่ตั้งอยู่นอกซีบีดีที่สัดส่วน ที่เพิ่มสูงขึ้นมาจาก ในพื้นที่เหล่านั้นไม่มีอาคารสำนักงานเกรดเอมากนัก จึงทำให้สามารถปรับอัตราค่าเช่าให้สูงขึ้นได้ เช่นอาคาร เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นอาคารสำนักงานเกรดเออาคารเดียวที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ เดิมเปิดให้เช่าพื้นที่ในราคาเพียง 600 บาทต่อตร.ม. ปัจจุบันอยู่ที่ 730 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี

                  นอกจากอัตรา ค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอัตราการเติบโตของอาคารสำนักงานให้เช่าคือ การทำสัญญาเช่าก่อนตึกสร้างเสร็จ (Pre Rent) ซึ่งในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมาไม่พบลักษณะเช่นนี้มากนัก แต่ปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

                 สำหรับพื้นที่ที่น่าจับตามองของอาคารสำนักงานเกรดเอเกิดใหม่คือพื้นที่ย่าน สุขุมวิท บางนา และลาดพร้าว เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของโครงการรถไฟฟ้า อีกทั้งราคาที่ดินก็ยังไม่สูงมาก พอที่จะพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานได้

                ล่าสุด กลุ่มบริษัทภิรัชบุรีฯ ได้เปิดตัวอาคารสำนักงาน ภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ อาคารสำนักงานเกรดเอสูง 45 ชั้น ที่มีส่วนเชื่อมต่อกับเอ็มควอเทียร์ แหล่งช็อปปิ้งยอดนิยมถือเป็นโครงการที่นำเสนอบรรยากาศในการทำงานรูปแบบใหม่ แก่ผู้ประกอบการและพนักงาน ด้วยแนวคิด "มิกซ์ยูส" ผสมผสานการใช้ประโยชน์พื้นที่ในรูปแบบต่างๆ ณ ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ

                 นาย ปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรีฯ กล่าวว่า อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อทุกๆความต้องการและประโยชน์ใช้สอยของผู้ เช่าด้วยมาตรฐานการก่อสร้างในระดับสูงสุด โดยให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับงานด้านวิศวกรรมและนวัตกรรมที่ทันสมัยเพื่อ มอบการเติบโตอย่างยั่งยืนทางธุรกิจให้กับผู้เช่าในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ

                ทั้งนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างชาติเข้าเยี่ยมชมโครงการ จำนวนมากก่อนการเปิดให้จองอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าใช้พื้นที่แล้วกว่า 35% ในอัตราค่าเช่า 900-950 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน

ที่มา :  CBRE