รับสมัครงาน

century 21 property aims thailand

Banner

960x300

Banner

960x300

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

6 ข้อน่ารู้ ก่อนเลือกห้องคอนโดฯ

6 ข้อน่ารู้ ก่อนเลือกห้องคอนโดฯ


ทิศทางของลม 
ทิศตะวันตกเวลาแดดส่องช่วงบ่ายห้องจะร้อนมาก ส่วนทิศอื่นๆ นั้นไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ใครที่ชอบให้ห้องร่มก็ควรเลือกทิศเหนือ แต่ถ้าหากว่าเจ้าของห้องชอบปลูกต้นไม้ก็จะไม่เหมาะ อีกทั้งเวลาตากผ้าก็อาจจะแห้งช้าได้ เพราะไม่มีแดด หากชอบทิศที่มีแสงแดดส่องบ้างในช่วงบ่าย ลมพัดเย็นสบายก็ควรเลือกทิศใต้ ส่วนทิศตะวันออกเหมาะกับห้องนอน เพราะยามเช้าจะได้รับแสงแดดอ่อนๆ ส่วนตอนบ่ายห้องจะไม่ร้อนมาก อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่มักเลือกที่วิวสวยไว้ก่อนเพราะขายต่อง่ายและได้ราคา ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น อากาศร้อนหรือผ้าแห้งช้านั้น เป็นปัญหาที่แก้ไขได้

สภาพแวดล้อมภายนอก 
สภาพแวดล้อมภายนอก ห้องไม่ควรอยู่ติดกับถนนและรถไฟฟ้ามากเกินไป เนื่องจากจะได้ยินเสียงดังรบกวนมาก อีกทั้งกลิ่นไอเสียจากควันรถยนต์ ถ้าอยู่คอนโดติดรถไฟฟ้าควรเลือกชั้นที่อยู่สูงกว่ารางรถไฟฟ้าเพื่อให้สามารถมองเห็นวิวได้ไกล และรับกระแสลมได้ดี เสียงรบกวนน้อยกว่า ฝุ่นควันต่างๆ น้อยกว่า แต่หากสนใจเลือกห้องที่อยู่ชั้นล่างควรแน่ใจว่าเป็นที่โล่ง รับลมดี หรืออากาศถ่ายเทสะดวก

แบบแปลนห้องพัก 
คอนโดหลังหนึ่งมีหลายห้องย่อย แต่ละห้องอาจจะมีการจัดวางแปลนห้องแตกต่างกัน ซึ่งถ้าแปลนห้องพักเหมือนกันหมดทุกห้อง คนส่วนใหญ่มักเลือกห้องที่หัวนอนไม่หันไปทางทิศตะวันตก บางคอนโดจึงหลีกเลี่ยงการหันหัวนอนไปทางทิศตะวันตก โดยจัดวางแปลนแต่ละห้องให้ไม่เหมือนกัน ทำให้พื้นที่ออกมาดูไม่ลงตัว ต้องดูแปลนห้องก่อนเลือกด้วยว่าเราชอบแบบไหน เพื่อให้ตรงกับความต้องการ

ห้องน้ำ
เลือกห้องน้ำที่ระบายอากาศได้ดี ป้องกันกลิ่นอับชื้นและปัญหาเชื้อรา บางคนอาจชอบห้องน้ำที่กว้าง บางคนอยากมีอ่างอาบน้ำไว้ด้วย จึงควรเลือกขนาดห้องน้ำให้ตรงกับความต้องการ รวมถึงดูอุปกรณ์ภายในห้องน้ำประกอบด้วย

ระเบียงห้องพัก 
นอกจากจะเอาไว้ชมวิวแล้วยังมีประโยชน์ในการปลูกต้นไม้ ตากผ้า และช่วยบังแดดฝนไม่ให้โดนหน้าต่างได้โดยตรงด้วย

ตำแหน่งห้อง
– ห้องที่อยู่หน้าลิฟต์ มักมีเสียงรบกวนจากลิฟต์ดังตลอด ทำให้รู้สึกขาดความเป็นส่วนตัว ควรเลือกห้องที่อยู่ใกล้ลิฟต์พอประมาณโดยไม่ต้องเดินไกล 
– ตำแหน่งที่ทิ้งขยะ อย่าเลือกห้องที่อยู่ใกล้กับห้องขยะเนื่องจากจะเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์รบกวน ดูแผนผังห้องให้ดีก่อนซื้อไม่ว่าจะคอนโดมือหนึ่งหรือคอนโดมือสอง 
– ห้องใกล้บันได เสียงคนเดินขึ้นลงบันไดอาจรบกวนได้ ให้เลือกห้องที่ใกล้บันไดหนีไฟแทน เพื่อความปลอดภัยยามเกิดเหตุฉุกเฉิน 
– ชั้นบนสุดควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากได้รับความร้อนจากดาดฟ้าและเพดาน แอร์ทำงานหนัก อีกทั้งอาจมีปัญหาน้ำรั่วซึม โดยเฉพาะคอนโดที่มีสระว่ายน้ำอยู่บนชั้นดาดฟ้า


ที่มา  : http://blog.olx.co.th/realestate/6-tips/

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

7 วิธี เลือกซื้อคอนโด ให้ปล่อยเช่าเร็ว และขายง่าย

7 วิธี เลือกซื้อคอนโด ให้ปล่อยเช่าเร็ว และขายง่าย



1. ห้องทางทิศใต้ขายง่ายกว่า
เนื่องจากในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนของบ้านเรา ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 8-9 เดือนต่อปี จะเป็นช่วงที่มีลมพัดมาจากทางทิศใต้ ส่วนอีก 3-4 เดือนที่เหลือเป็นฤดูหนาวที่ลมจะพัดมาจากทางทิศเหนือ
ทำให้ห้องที่ตั้งหันหน้าไปทางทิศใต้จะขายหรือปล่อยเช่าได้เร็วกว่า รองลงมาก็เป็นทิศเหนือ ทิศตะวันออก แต่ทิศตะวันตกเป็นทิศที่คนไม่ค่อยนิยม เนื่องจากเป็นห้องที่โดนแสงแดดช่วงบ่าย ทำให้ห้องนั้นมีอุณหภูมิสูงไปจนถึงตอนค่ำ ใครที่เลือกอยู่ห้องนั้น ภายในห้องจะร้อนกว่าห้องที่ตั้งหันหน้าไปทางทิศอื่น

2. เลือกห้องสตูดิโอ หรือห้องแบบ 1 ห้องนอนไว้ดีกว่า
ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมพักอาศัยกันแบบครอบครัวเล็กๆ อยู่กันเพียง 1 คน หรือ 2 คน รวมถึงคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ก็นิยมเช่าห้องพักในเมือง รวมไปถึงบ้านใครไกลจากที่ทำงานก็นิยมออกมาเช่าคอนโดมิเนียม หรืออพาร์ทเม้นท์อยู่นอกบ้าน จากปัจจัยเหล่านั้นทำให้โครงการปลูกสร้างคอนโดมิเนียมมีห้องพักประเภทห้องสตูดิโอ และห้องแบบ 1 ห้องนอนมากกว่าห้องประเภทอื่น

3. คอนโดยิ่งสูงยิ่งสวย
ที่บอกแบบนี้หลายคนอาจบอกว่าชั้นยิ่งสูง พื้นที่ต่อตารางเมตรยิ่งแพง แต่จริงๆ แล้วยังมีเหตุผลในการเลือกห้องสูงเพราะ ห้องที่อยู่สูงจะได้วิวที่สวยกว่า ดังนั้นควรเลือกห้องที่ไม่มีตึกมาบัง แต่ถ้าอาคารที่คุณเลือกถูกล้อมด้วยตึกสูงอยู่แล้ว คุณอาจไม่จำเป็นต้องเลือกชั้นที่สูงมาก เพราะยิ่งสูงก็ยิ่งแพง

4. ใกล้รถไฟฟ้ายิ่งดี
หากจะเลือกคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า ควรกะระยะทางว่าคอนโดมิเนียมแห่งนั้นไม่ไกลจาก BTS หรือ MRT แอร์พอร์ตลิงก์มากนัก จะให้ดีไม่ควรเกิน 500 เมตร เนื่องจากปกติคนไทยไม่ค่อยชอบเดิน เพราะยิ่
งเดินไกลก็ยิ่งร้อน ยิ่งต้องหอบหิ้วกระเป๋า ข้าวของต่างๆ ด้วยยิ่งลำบาก


5. เปรียบเทียบราคาห้องเช่าคอนโดข้างๆ
แน่นอนว่าในพื้นที่ระแวกเดียวกัน ย่อมมีโครงการคอนโดมิเนียมผุดขึ้นมากกว่า 1 โครงการเป็นแน่ ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมสักแห่ง ควรเปรียบเทียบราคาต่อตารางเมตรกับคอนโดมิเนียมในระแวกเดียวกัน ชั้นเดียวกัน เป็นประเภทตึกสูงเหมือนกัน นอกจากนี้ยังควรเปรียบเทียบพื้นที่ส่วนกลางด้วยเช่น ที่จอดรถ จำนวนลิฟท์ จำนวนยูนิตที่ขาย

6. ห้องมีวิวห้ามพลาด
ถ้าคอนโดมิเนียมนั้นตั้งอยู่ในทำเลติดทะเล หรือแม่น้ำ ควรเลือกห้องที่เห็นวิวเหล่านั้นอย่างชัดเจน

7. คอนโดเก่า ต้องดูนิติบุคคล
บางคนอาจเลือกซื้อคอนโดเก่าแทนคอนโดใหม่ เนื่องจากมีราคาย่อมเยากว่า ดังนั้นเมื่อต้องการเลือกคอนโดเก่าควรพิจารณาการทำงาน การบริหารจัดการของนิติบุคคล นอกจากนั้นควรพิจารณาสังคมที่พักอาศัยอยู่ดั้งเดิม ว่าเป็นกลุ่มคนประเภทใด

ที่มา home.sanook.com


วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

รีวิว คอนโด ใหม่ Noble Be 19

รีวิว คอนโด ใหม่ Noble Be 19

โนเบิล บี 19 @ สุขุมวิท 19


Noble BE19 @ Sukhumvit 19 (โนเบิล บี นายทีน) 

รายละเอียดโครงการ

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด 
โครงการตั้งอยู่ในเขต : ซอยสุขุมวิท 19 
ที่ดินประมาณ 3-2-95 ไร่ 
คอนโด High Rise 2 อาคาร 27 ชั้น และ 48 ชั้น 
จำนวน 586 ยูนิต 
ที่จอดรถประมาณ 67% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) 
ที่ชั้นใต้ดิน 6 ชั้น, ชั้น Ground และชั้น 2 
เริ่มก่อสร้าง : ประมาณกุมภาพันธ์ 2560 
คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ประมาณสิงหาคม 2563 

แบบห้องพัก
1 Bedroom ขนาดประมาณ  33-50 ตารางเมตร  
2 Bedrooms ขนาดประมาณ 60-73 ตารางเมตร 
Penthouse ขนาดประมาณ 86-146 ตารางเมตร  
ราคาห้องเริ่มต้น 6.2 ล้านบาท

เวปไซต์โครงการ : http://www.noblehome.com/



ทำเลโครงการ Noble Be 19 อยู่ในซอยสุขุมวิท 19 แต่ก็สามารถเข้า ออกได้จากซอยสุขุมวิท 15 ด้วย และซอยนี้ก็เป็นซอยที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งถนนอโศกมนตรี (ซอย 21 แยก 3) หรือจะมาจากถนนเพชรบุรี ก็สามารถเข้ามาทางสุขุมวิทซอย 3 ได้ ถือได้ว่าค่อนข้างสะดวกสบายสำหรับคนใช้รถยนต์ นอกจากนี้คนที่ไม่ใช้รถยนต์ ก็สามารถใช้รถไฟฟ้าได้อย่างสะดวกสบาย เพราะตัวโครงการอยู่ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก และ MRT สถานีสุขุมวิท เพียง 600 ม. ซึ่งเป็นสถานี Interchange ที่สำคัญมากๆ เพราะเป็น Interchange ระหว่างรถไฟฟ้า BTS ที่เป็นเส้นหลักใจกลางของกรุงเทพฯ ส่วนอีกสาย MRT ก็จะเป็นเส้นที่ในอนาคตจะวิ่งเป็นวงกลมรอบกรุงเทพ ทำให้สะดวกสบายมากไม่ว่าจะเดินทางไปไหนในกรุงเทพ

นอกจากนี้ทำเลย่านอโศกก็เป็นทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง เป็นทำเลย่านธุรกิจที่สำคัญอีกแห่งนึง บริเวณโดยรอบจะเป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่  แต่จุดเด่นของโครงการ Noble BE19 คือเป็นโครงการในย่านอโศกที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน  แต่โครงการไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ แต่กลับอยู่เข้ามาในซอยทำให้มีความเงียบสงบมากขึ้น เหมาะการหรับการที่จะเป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ทางทิศเหนือของโครงการก็จะเป็นวิว ฝั่งโรงเรียนวัฒนา ซึงเป็นวิวเปิดโล่งอีกด้วย







วิวทางทิศเหนือของโครงการ

วิวทางทิศตะวันตกของโครงการ


วิวทางทิศใต้ของโครงการ

วิวทางทิศตะวันออกของโครงการ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

รีวิวคอนโด พลัม คอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น (Plum Condo Chaengwattana Station )

รีวิวคอนโด พลัม คอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น

(Plum Condo Chaengwattana Station )





พลัม คอนโด แจ้งวัฒนะ สเตชั่น 

บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
ลักษณะโครงการ คอนโดมิเนียม 3 อาคาร สูง 8 ชั้น 
จำนวน 809 ยูนิต และร้านค้า 5 ยูนิต
พื้นที่โครงการ  6 ไร่ 2 งาน 63 ตารางวา

แบบห้องพัก 

1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 25.5 ตรม. 
1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด  26.0 ตรม. 
2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 45  ตรม.  

ราคาเริ่มต้น 990,000 บาท หรือเฉลี่ยราคา 44,000 บาท/ตร.ม. 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติ่ม  http://plum.pruksa.com/ 
Call Center : 1739

ความพิเศษของโครงการ 

 - ทำเลของโครงการ อยู่ใกล้ รถไฟฟ้าถึง 3 สาย ทั้งสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี , สายสีเขียว หมอชิต สะพานใหม่    และสายสีแดงเข้ม บางซื่อ รังสิต  ทำให้เดินทางไม่ว่าจะเข้าเมือง ไปแจ้งวัฒนะ สนามบินดอนเมือง หรือที่อื่นๆ ก็ทำได้อย่างสะดวกสบาย 

- อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั้ง ม.ราชภัฏ พระนคร , ม.ศรีปทุม และม.เกษตรศาสตร์ สามารถปล่อยเช่ากลุ่มนักศึกษาได้ 

- อยู่ใกล้ศูนย์การค้ามากมาย  ฝั่งตรงข้ามมี maxvalue และใกล้มีทั้ง เซ็นทรัลพลาซา รามอินทรา , it square , big c เป็นต้น 

- ราคาไม่แพงเริ่มต้นเพียง 990,000 บาท









วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประเภทของเอกสารสิทธิ์ที่ดิน

หนังสือแสดงสิทธิ์ที่ดิน มี 4 แบบได้แก่

1.โฉนดที่ดิน หรือ น.ส.4

                        เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินสามารถใช้แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินนั้น สามารถขายหรือโอน จำนอง ค้ำประกันทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มิฉะนั้นจะถือ เป็นโมฆะมีหลายแบบได้แก่ น.ส. 4 ก, น.ส. 4 ข, น.ส. 4 ค, น.ส. 4, น.ส. 4 ง และน.ส. 4 จ เป็นโฉนดที่ออกให้ในปัจจุบัน

2. ใบจอง หรือ น.ส.2

                        หนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดินชั่วคราวเป็นหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินที่ทางราชการออกให้จะนำไปขาย โอนไม่ได้ จำนองไม่ได้ เว้นแต่การโอนทางมรดกตกทอดแก่ทายาทเท่านั้น

3. หนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือน.ส.3

                         หนังสือคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้วมีเพียงสิทธิ์ครอบครอง ไม่มีกรรมสิทธิ์ ไม่สามารถซื้อขายโอน จำนองได้ ได้แก่ น.ส.3 หลายคนมีปัญหาเรื่องรังวัดด้วยฝีมือคนโดยไม่ได้อ้างอิงแผนที่จากดาวเทียม ส่วนนส.3 ก จะปลอดภัยกว่า แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการรังวัดใหม่ว่า ที่ดินเราจะเพิ่มหรือลดได้ทั้งนั้น 

4. ใบไต่สวน หรือ น.ส.5

                        หนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดิน หนังสือแสดงสิทธิ์ที่ดินและให้จดทะเบียนสิทธิ์และนิติกรรมในใบไต่สวนได้

ลักษณะของเอกสารสิทธิ์ที่ดิน

               ‪#‎ครุฑแดง‬ คือ "โฉนดที่ดิน (น.ส.4)" ซึ่งเป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ชัดเจนที่สุด ซื้อขายได้ โอนได้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็อย่างที่ ๆ เราส่วนใหญ่มีครอบครองกันก็เป็นอันนี้แหละครับ ที่ในเมืองเกือบทั้งหมดก็จะเป็น "ครุฑแดง" ครับแล้วใครเคยได้ยิน "โฉนดหลังแดง" ไหมครับ?  เหมือนหรือต่างจาก "ครุฑแดง" รึเปล่า คำตอบคือ "โฉนดหลังแดง" ก็คือเอกสาร น.ส.4  แต่...จะมีการระบุด้านหลังโฉนดว่า ห้ามโอน!! ภายในระยะเวลา 5-10 ปี
               ‪#‎ครุฑเขียว‬ คือ "หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ประเภท น.ส.3 ก."ย้ำว่า น.ส.3 ก. ซึ่งออกในท้องที่ที่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ

               ‪#‎ครุฑดำ‬ คือ"หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ประเภท น.ส.3 และ น.ส.3 ข."
จำง่าย ๆ ละกันว่า สองอันนี้ ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศครับ


ที่มา : living-estate.blogspot.com

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิธีวัดขนาด " พื้นที่ห้องคอนโดฯ "



ในการตรวจรับบ้านหรือคอนโดฯ ไม่เพียงแต่จะเป็นการตรวจสอบความเรียบร้อยถูกต้องของงานก่อสร้างตกแต่ง แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่าง นั่นคือ การตรวจสอบขนาด-พื้นที่ โดยเฉพาะคอนโดฯซึ่งเป็นการขาย “ตามพื้นที่ใช้สอย”เป็นตารางเมตร เรื่องการวัดพื้นที่อาจต้องซีเรียส เพราะขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง มีผลต่อราคาซึ่งอาจเพิ่มขึ้นหรือลงลดได้ ซึ่งต่างกับการซื้อบ้านจัดสรร ส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายทั้งตึก(บ้านพร้อมที่ดินเรื่องการวัดพื้นที่จะไม่ค่อยซีเรียส
การวัดพื้นที่ใช้สอยของอาคารที่ถูกต้อง จะอ้างอิงตามพระราชบัญญัติอาคารชุด .๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่๔๒๕๕๑ และอ้างอิงถึงระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยอาคารชุด .๒๕๕๔ ซึ่งอาจจะสรุปง่ายๆ ดังนี้  
       @พื้นที่นั้นต้องไม่คิดส่วนที่เป็นโครงสร้างรวมของอาคาร
       @พื้นที่นั้นต้องไม่รวมส่วนที่อาคารต้องใช้ร่วมกันเช่น ช่องท่อเป็นต้น
       @วัดพื้นที่ผนังภายนอกเพียงครึ่งเดียวของผนัง 
       @วัดพื้นที่ถึงกึ่งกลางผนัง กรณีที่เป็นยูนิตติดกัน 
       @วัดพื้นที่กินผนังทั้งหมด กรณีที่ผนังติดกับทางเดินส่วนกลาง 
       @ผนังรับน้ำหนัก (wall bearing) ถือเป็นเสาหรือโครงสร้างอาคารทั้งหมด ...ห้ามขาย  
       @โถงทางเข้ายูนิต ถ้าแสดงวัสดุหรือขอบเขตชัดเจน วัดเป็นพื้นที่ขายได้ 
       @ที่วางคอนเดนซิ่งแอร์ ถ้าแสดงขอบเขตชัดเจน ถือเป็นพื้นที่ขายได้ 
       @ที่จอดรถ อาจถือเป็นสิทธิส่วนตัวของยูนิต
ในความเป็นจริง หลายโครงการมักทำสัญญาผูกมัดว่า กรณีพื้นที่เพิ่มหรือลด ผู้ซื้อก็ต้องรับไปและจ่ายราคาเพิ่มหรือลดตามสัดส่วนจากที่ตกลงกัน” ตรงนี้ต้องดูให้ดีผู้ซื้ออาจเสียเปรียบ เพราะอาจจะมีพื้นที่เพิ่มเกิน 5% ก็ต้องจำรับไปเพราะตกลงกันแล้ว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าผิดสัญญา
อย่างไรก็ตามแม้สัญญาจะระบุไว้แล้วว่าต้องรับไปหากมีลดหรือเพิ่ม แต่ถ้าพื้นที่มีการเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่ยอมรับได้โดยที่เรารู้พื้นที่ก่อนทำสัญญาตั้งแต่แรก เราก็ไม่มีทางซื้อ ซึ่งมีข้อกำหนดของกฏหมายตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466

สรุปง่ายๆ หากพื้นที่ตามสัญญาขายที่ตกลงกัน ไม่ตรงกับพื้นที่จริงตามโฉนด เกินร้อยละ 5 ของพื้นที่ห้องชุด ผู้ซื้อซึ่งวางเงินดาวน์ไปแล้ว เมื่อถึงวันโอน พื้นที่ผิดไปจากที่ตกลงเกินร้อยละ 5สามารถปฏิเสธหรือไม่รับโอนได้

ที่มา : http://www.home.co.th/

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

วิธีสร้างภูมิคุ้มกันในการซื้อบ้าน จาก สคบ.

   แม้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานในธุรกิจไปมากเมื่อเทียบกับยุค สมัยก่อนที่คนซื้อบ้านมีความเสี่ยงสูง ในการที่จะไม่ได้บ้านตามสัญญา หรือได้มาก็มีคุณภาพที่ไม่ดี แต่ก็ใช่ว่าในปัจจุบัน ทุกข์ของคนซื้อบ้านจะหมดไป ทุกวันนี้ยังคงมีเรื่องร้องเรียนของคนซื้อบ้านอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่รูปแบบของปัญหาได้เปลี่ยนแปลงไปจากก่อน 

รัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้แจกแจงให้ฟังว่า เมื่อก่อนปัญหาของผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่ คือผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อบ้าน แต่ไม่ได้บ้าน โดยเฉพาะหลังประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทพัฒนาที่ดินเจ๊งกันเป็นระนาว เดือดร้อนลามไปถึงคนซื้อบ้านจนถึงทุกวันนี้เรื่องร้องเรียนจากโครงการเก่าๆ ที่ยังไม่ได้สร้างก็ยังมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ ส่วนปัญหาในรูปแบบใหม่ เลขาฯ สคบ.บอกว่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐานตามสัญญาพร้อมกับย้ำว่า ผู้บริโภคในยุคที่เศรษฐกิจเริ่มตกสะเก็ดจะต้องระวังคือ เรื่องของมาตรฐานของวัสดุก่อสร้างที่ผู้ประกอบธุรกิจหัวใส ไม่ใส่ใจผู้บริโภค แอบลดสเปกลงเพื่อลดต้นทุน หากไม่ตรวจตราในระหว่างก่อสร้างได้ดี วันดีคืนดีบ้านอาจจะทรุดหรือพังเอาได้ง่ายๆ 

                                                      

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เป็น เรื่องร้องเรียนท็อปฮิตของ สคบ.ในเวลานี้ คือ การขอเงินดาวน์หรือเงินทำสัญญาคืนจากโครงการอันเนื่องมาจากกู้เงินไม่ผ่าน เรื่องมีอยู่ว่า โครงการหลายแหล่งใช้แคมเปญกู้ 100% เพียงแค่ให้ลูกค้าวางเงินจอง 3 หมื่นบ้าง 5 หมื่นบ้าง พร้อมกับคำยืนยันจากพนักงานขายว่า ถ้ากู้ไม่ผ่านทางโครงการพร้อมจะคืนเงินให้ แต่พอกู้เงินไม่ผ่านเข้ามาจริงๆ กลับถูกบิดพลิ้ว โดยอ้างว่า สัญญาจะซื้อจะขายไม่ได้ระบุไว้ทำให้ต้องเสียเงินฟรีๆ ให้ช้ำใจ สคบ.ต้องรับหน้าที่เจรจาไกล่เกลี่ยให้ ทั้งๆ ที่ในแง่กฎหมาย ผู้บริโภคไม่มีทางสู้ได้เลย ดังนั้น เมื่อไม่มั่นใจว่าจะกู้เงินผ่านหรือไม่ กรุณาอย่าหลงเชื่อคารมพนักงานขาย แต่ขอให้มีข้อความว่าจะคืนเงินให้เอาไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายดูจะปลอดภัย ที่สุด คราวนี้ลองมาดูว่า สคบ.มีข้อแนะนำในการซื้อบ้านและอาคารชุดอย่างไร 

ก่อน ที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจวางเงินจอง เงินมัดจำ เงินดาวน์ และทำสัญญาจะซื้อจะขาย ควรตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของโครงการให้ถูกต้อง ชัดเจน ดังนี้ 

- ผู้ประกอบธุรกิจเคยถูกร้องเรียนมาแล้วหรือไม่ โดยสอบถามข้อมูลได้ที่ สคบ. 
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ประกอบธุรกิจถ้าเป็นนิติบุคคลควรตรวจสอบว่า ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ถูกต้องหรือไม่ มีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ ทุนที่ชำระแล้วเท่าไหร่ ใครเป็นกรรมการผู้จัดการ หรือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท สอบถามข้อมูลได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด -ที่ดินที่ตั้งโครงการมีโฉนดถูกต้องหรือ ไม่ ตรวจเลขที่โฉนด ใครเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดิน ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินหรือยัง ตรวจสอบข้อมูลได้จากกรมที่ดินหรือสำนักงานที่ดินจังหวัด 
- ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของโครงการได้รับอนุญาตก่อสร้างถูกต้องหรือไม่ ที่ดินแปลงดังกล่าวถูกเวนคืนหรือไม่ ตรวจสอบได้ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร สำนักโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด หรือเทศบาล
- ที่ดินที่ตั้งโครงการมีภาระผูกพันกับนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินหรือไม่ กล่าวคือ มีการจำนองหรือฝากขายไว้กับผู้ใด ตรวจสอบได้จากกรมที่ดินหรือสำนักงานที่ดินจังหวัด 
- ตรวจรายละเอียดเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการเช่น ถนน น้ำประปา ไฟฟ้า ว่าเจ้าของโครงการได้ดำเนินการไว้แล้วหรือยัง ถ้ายัง ให้สอบถามว่าจะดำเนินการเมื่อใด เสร็จเมื่อใด 
- ตรวจสอบว่าผู้จัดสรรที่ดินได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินประเภทใด เช่น จัดสรรเป็นที่อยู่อาศัย เป็นนิคมอุตสาหกรรม หรือจัดสรรเป็นที่ประกอบการพาณิชย์ เพื่อจะได้เลือกซื้อให้เหมาะสม ตามวัตถุประสงค์และประโยชน์ใช้สอย
- ตรวจสอบวิธีผ่อนชำระเงินว่าจะต้องผ่อนอย่างไร งวดละเท่าไหร่ ระยะเวลานานเท่าใด 

                                             

ทั้งนี้ ผู้บริโภคอย่าตัดสินใจซื้อบ้านโดย เชื่อจากคำโฆษณาเพียงอย่างเดียวและควรต้องเก็บเอกสารคำโฆษณา และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการเอาไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจ ในกรณีที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคขึ้นผู้บริโภคมีหน้าที่ในการดำเนิน การร้องเรียนตามสิทธิของตน โดยร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสินค้าหรือบริการ นั้น หรือร้องเรียนมาที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคต่างจังหวัดโดยการเต รียมตัวเพื่อร้องทุกข์สำหรับผู้บริโภคมีดังนี้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง ผู้บริโภค พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541 มาตรา 4 ได้บัญญัติสิทธิของผู้บริโภคที่จะได้รับการคุ้มครอง 5 ประการได้แก่
 - สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ - สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ 
- สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ 
- สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา 
- สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ดังนั้น การร้องทุกข์เมื่อได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้าหรือบริการถือเป็น เรื่องที่ชอบธรรมที่ผู้บริโภคควรกระทำ เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ความเสียหาย และเพื่อเป็นการลงโทษหรือปรามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค


ที่มา :  หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
รูปภาพประกอบ : homechiangmai , www.ocpb.go.th

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

ปรับราคาประเมินที่ดินใหม่ทั่วประเทศเพิ่ม 25%



"กรมธนารักษ์ เตรียมประกาศราคาที่ดินปี 2559 - 2562 ใหม่ พบราคาประเมินที่ดินใหม่ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25% จ.น่านเพิ่มเฉลี่ย 111%  พื้นที่ กทม. ปรับขึ้น 15% สีลมสูงสุดตารางวาละ 1 ล้านบาท เตรียมประกาศใช้ 1 ม.ค. 59 - ธ.ค. 62“

                               


"กรมธนารักษ์กำลังเร่งประเมินราคาที่ดินระยะ 4 ปีรอบใหม่ โดยประกาศใช้ตั้งแต่1ม.ค. 2559-31ธ.ค.2562 โดยราคาประเมินใหม่จะเป็นเกณฑ์ที่กระทบต่อการพัฒนาตลาดสังหาริมทรัพย์งานสัมมนาทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์นายเอกวัฒน์ มานะแก้ว รองอธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในหัวข้อ ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบใหม่ ปี2559-2562ว่าราคาที่ดินทั่วประเทศที่ประเมินใหม่ปรับขึ้นเฉลี่ย 25% โดยกรุงเทพฯ ปรับขึ้นเฉลี่ย15% แนวรถไฟฟ้าปรับขึ้นเฉลี่ย 75% ส่วนเขตเศรษฐกิจพิเศษปรับขึ้นเฉลี่ย 40-50%ทั้งนี้เมื่อแยกเป็นรายพื้นที่ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เขตพระขโนงราคาเพิ่มเฉลี่ย 33.54% เขตจตุจักรเพิ่มเฉลี่ย 20.75% เขตบางกะปิเพิ่มเฉลี่ย 27.73% เขตลาดพร้าวเพิ่มเฉลี่ย 25.60% เขตลาดกระบังเพิ่มเฉลี่ย 22.63% เขตประเวศเพิ่มเฉลี่ย 21.93% เขตมีนบุรีเพิ่มเฉลี่ย 21.43%โดยราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยในแต่ละเขต พบว่าเขตมีนบุรีเพิ่ม21.43% เขตบางเขน19.85% เขตบึงกุ่ม19.21% เขตบางขุนเทียน10.83% เขตธนบุรี7.35% เขตบางกอกน้อย6.87% เขตหนองจอก6.19% เขตหนองแขม4.76% เขตดอนเมือง4.52% และเขตห้วยขวาง1.04%

นายเอกวัฒน์กล่าวว่าพื้นที่แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน ราคาเดิม 1-1.5 แสนบาทต่อตรว. เพิ่มเป็น 2.8 แสนบาทต่อตรว. ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.15 แสนบาทต่อตรว. รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มราชดำริ-สีลม ราคาเดิม 7.5 แสนบาทต่อตรว.เป็น 9 แสนบาทต่อตรว. ราคาเฉลี่ยที่ 8.5 แสนบาทต่อตรว. รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงจรัญสนิทวงศ์-เพชรเกษม-ประชาราษฎร์ ราคาเดิม 1.5 แสนบาทต่อตรว.เป็น 1.9 แสนบาทต่อตรว. ราคาเฉลี่ย 1.7 แสนบาทต่อตรว.ส่วนแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง กรุงเทพฯ-นนทบุรี ราคาเดิม 2.15 แสนบาทต่อตรว. เป็น 2.4 แสนบาทต่อตรว.เฉลี่ยที่ 2.27 แสนบาทต่อตรว. รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้มราคาเดิม 1.2 แสนบาทต่อตรว. เป็น 2.2 แสนบาทต่อตรว. ราคาเฉลี่ยที่ 1.7 แสนบาทต่อตรว.นายเอกวัฒน์ กล่าวว่าในพื้นที่ต่างจังหวัดโดยภาคกลาง จ.นครสวรรค์ ราคาเพิ่มเฉลี่ย 21% จากราคาสูงสุดเดิม 1.05 แสนบาทต่อตรว. เป็น 1.2 แสนบาทต่อตรว. จ.พิษณุโลก เพิ่มเฉลี่ยในรายพื้นที่ 51% แต่ราคาประเมินพื้นที่สูงสุดอยู่ในระดับเดิมที่ 8 หมื่นบาทต่อตรว


.ขณะที่พื้นที่ภาคเหนือที่จ.เชียงใหม่ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.71%จ.น่านเพิ่มเฉลี่ย 111% จากราคาสูงสุดเดิม 4.5 หมื่นบาทต่อตรว.เป็น 8.5 หมื่นบาทต่อตรว.สำหรับพื้นที่ภาคอีสาน จ.ขอนแก่นราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 28.53% ราคาสูงสุดไม่เปลี่ยนแปลงที่ 2 แสนบาทต่อตรว. จ.อุดรธานีเพิ่มขึ้น 14.81% จากราคาสูงสุดเดิม 1.5 แสนบาทต่อตรว.เป็น 1.8 แสนบาทต่อตรว.ขณะที่จ.หนองคายเพิ่มเฉลี่ย 37.71%พื้นที่ภาคตะวันออก จ.ชลบุรีราคาเพิ่มเฉลี่ย 35% จากราคาสูงสุดเดิม 1.5 แสนบาทต่อตรว.เป็น 2.2 แสนบาทต่อตรว.ส่วนพื้นที่ภาคใต้ จ.สงขลา เพิ่มเฉลี่ย 35% ราคาสูงสุดไม่เปลี่ยนแปลงที่ 4 แสนบาทต่อตรว.

สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างจ.มุกดาหารเพิ่มเฉลี่ย 38.12% จ.สงขลา เพิ่มเฉลี่ย 35% จ.หนองคายเพิ่มเฉลี่ย 37.17% จ.ตากเพิ่มเฉลี่ย 42.65% จ.สระแก้วเพิ่มเฉลี่ย 24% ส่วนจ.ตราด ราคายังไม่สรุปราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามนายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะภาคอสังหาฯเมื่อมีการซื้อขายแล้ว จะเกิดประโยชน์ต่อธุรกิจต่อเนื่อง ทำให้เกิดตัวทวีคูณ 3-4 เท่ามาตรการดังกล่าวจะยังไม่มีผลต่อภาพรวมอสังหาฯปีนี้ เนื่องจากพึ่งออกมาตรการและมีผลช่วง 2-3 เดือนนี้เท่านั้น แต่จะเห็นผลของมาตรการในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า จนถึงเดือนเมย.2559ที่ผ่านมาตลอดช่วง 10 เดือน นายสัมมา ยอมรับว่าตลาดอสังหาฯอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากผู้บริโภคขาดความมั่นใจ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าที่ทั้งปีตลาดอสังหาฯน่าจะเติบโตได้ 10%นายสัมมายอมรับว่ามาตรการกระตุ้นอสังหาฯที่รัฐบาลออกมา ถือว่ามีเจตนาที่ดี แต่หากมองในมุมผู้บริโภคบ้านหลังแรกจริงๆจะมีไม่มาก ถ้าเป็นการซื้อคอนโดมิเนียม จะมีคนซื้อจริง 60% ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนเก็งกำไรและใน 60% ของผู้ซื้อจริงมีเพียง 30% ที่เป็นผู้ซื้อบ้านหลังแรกคาดรัฐไม่ต้องการให้เกิดภาวะฟองสบู่คิดว่าภาครัฐคงต้องการกระตุ้นอสังหาฯในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องการให้ตลาดเกิดภาวะเฟื่องฟูมากไป เพราะตลาดที่อยู่อาศัยควรเติบโตอย่างมั่นคงส่วนราคาที่อยู่อาศัยที่ผ่านมา ราคาคอนโดมิเนียมปรับขึ้นเฉลี่ย 4.8% ทาวน์เฮาส์ เพิ่ม 4% บ้านเดี่ยวเพิ่ม 3% โดยธรรมชาติแล้ว ราคาคอนโดมิเนียมจะเพิ่มมาก ส่วนคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ราคาจะเพิ่มขึ้นไม่มาก เพราะซัพพลายมีมาก ผู้บริโภคยังมีโอกาสซื้อได้ เพียงแต่ต้องไม่กระโดดเข้าหามาตรการนี้ แต่ต้องพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเองผมมองว่าโครงการนี้ไม่เหมือนรถคันแรกผู้ซื้อน่าจะชั่งใจบ้าง แนะนำว่า ผู้ซื้อไม่ควรเร่งโอน แต่ขอให้ตรวจสอบคุณภาพบ้านให้ดีก่อน"


ที่มา :  Nation TV 
http://www.nationtv.tv/main/content/economy-business/378476158/